Monday, 30 November 2015

เล่นของหนัก

             การเรียนภาษาอังกฤษ ถ้าคุณยังเรียนกูๆกาๆ ตามพวกอาจมจูงลาลงคลองคนไทยไป ชาตินี้ทั้งชาติก็วนอยู่ในอ่าง โอกาศ ที่จะไปสามารถอ่านเรื่องสนุกๆ ได้ความรู้ใหม่ๆ ในสากล เหมือนนานาชาติ ไม่มีเลย พวกที่ไปเรียนเมืองนอกมา มันก็แปลให้คุณฟัง แบบดุ้นๆ จับต้นชนปลายไม่ถูก เรื่องที่มันจะมา แปลแบบ แยกแยะ ใส่ความรู้สึก ในคําศัพท์ นั้นให้รู้ ให้เกิดงอกงามทางภาษาในสมอง เหมือนปลูกต้นไม้ แบบที่ผมทําอยู่นี่ ไม่มีทางเลย 
           เล่นของหนักไปเลย อ่านที่มันยากๆ ผมอยู่ที่นี่ มีเรื่องอะไรเอามาเลย เสียอยู่อย่างเดียว ที่ผมต้องทํามาหากิน แต่ช้านิดช้าหน่อย ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร ผมมาคิดเล่นๆ ว่าถ้ามีคนคิดแบบผม ทำแบบผมซักสิบคนยี่สิบคน มีทั้งของเด็ก ของผู้ใหญ่ ป่านนี้เด็กไทย คนไทย ไม่กลัวภาษาอังกฤษอีกต่อไปแล้ว เพราะเราจะทํายากให้มันง่าย ไม่ใช่ ทําง่ายให้มันยาก เพื่อเอามาหากินเลี้ยงไข้ ทําให้เค้าพูดถูกใช้ไวยากรณ์ถูกโดยไม่รู้ตัว แล้วจึงมาเรียนรู้ว่า มันคืออะไรในไวยากรณ์แบบฝรั่ง ไม่ใช่ย้อนศร เหมือนครูไทย ที่ไปให้เรียนไวยากรณ์ก่อน จนลังเลสับสนเละเทะไปหมด กลัวยิ่งกว่าผี 
               เรื่องที่จะให้อ่านเรื่องนี้ยาวหน่อย แต่ก็สนุกดี มีศัพท์น่าจําแยะ

               The only friction in a happy marriage was the husband’s habit of farting loudly every morning when he woke up.
Every morning his wife would plead with him to stop ripping them off, because the smelt was making her sick. He told her he couldn’t stop and that it was perfectly natural. She told him
to see a doctor that one day he would blow his guts out. But he didn’t stop.
      One morning as she was preparing the turkey for dinner and he was upstairs sound asleep, she looked at the turkey innards, went upstairs and emptied them into her husband’s shorts. Her husband woke up with his usual trumpeting which was followed by a blood-curdling scream. The wife rolled on the floor laughing, tears in her eyes. After years of torture she had got him back pretty good.
About 20 minutes later, her husband came downstairs in his bloods stained underpants with a look of horror on his face. He said, “You always told me I’d end up farting my guts out, and today it finally happened. But by the grace of God and some Vaseline, I think I got them all back in.”
..........................................................

The only friction เรื่องที่ถ่วงความเจริญหรืออุปสรรค
( friction ฟริกชั่นแปลว่าฝืด ในที่นี้คือถ่วงความเจริญ )
 in a happy marriage ในความสุขของชีวิตแต่งงาน
was คือ
the husband’s habit นิสัยของสามี
of farting ที่ชอบตด
 loudly เสียงดัง
every morning ทุกเช้า
when he เมื่อแก
woke up. ตื่น
Every morning ทุกเช้า

his wife ภรรยาแก
would plead จะต้องอ้อนวอนขอร้อง
with him กับแก
to stop ให้หยุด
ripping them off, ปล่อยแก๊สพิษ
ripping ริปปิ้ง แปลว่าฉีก  ripping them off เป็นแสลง จินตนาการณ์ เหมือนฉีกแก้มก้น ในที่นี้ก็คือปล่อยตดนั่นเอง )
 because เพราะว่า 
the smelt กลิ่นของมัน
was making ทําให้ 
her sick. หล่อนจับไข้หัวโกร๋น ( ป่วย) 
He told her เขาบอกกับหล่อนว่า
 he couldn’t stop เขาไม่สามารถที่จะหยุดมันได้
and that it was และนั่นก็เป็น
perfectly natural. ธรรมชาติล้วนๆเลย

She told him เธอบอกเขา
to see a doctor ให้ไปหาหมอตรวจดู

 that one day วันใดวันหนึ่งในอนาคต
 he would blow เขาจะต้องระเบิดเอา
his guts out. เครื่องในเค้าออกมา
But he didn’t stop. แต่ว่าสามีก็ไม่ได้หยุดการ กระทําดังกล่าว
      One morning 
เช้าวันหนึ่ง
as she was preparing ขณะที่เธอกําลังตระเตรียม ( ทําอาหาร)
the turkey ไก่งวง
for dinner เพื่อเป็นอาหารมื้อเย็น
and he was upstairs สามีก็อยู่ชั้นบน
sound asleep, หลับลึก
she looked at หล่อนมองไปที่
 the turkey innards, เครื่องในของไก่งวง
innards อินเหน็ด =  offal อ๊อฟฟ่อล = เครื่องใน)
 went upstairs ขึ้นไปชั้นบน
 and emptied them แล้วก็เทมัน
 into ใส่ลงไป
her husband’s shorts. ที่กางเกงขาสั้นของสามี( กางเกงนอน)
 Her husband สามี 
woke up ตื่นขั้นมา
with ด้วย
his usual trumpeting เสียงดังปู๊ดป๊าดตามเคย
trumpeting ทรัมเป๊ตติ๊ง คืออุปมาอุปมัยว่าเหมือนเสียงแตร หรือเสียงช้างร้อง
which was followed ซึ่งก็ติดตามมาด้วย
by a blood-curdling scream. เสียงแหกปากร้องแบบคนที่เห็นเลือดเป็นลิ่มๆแล้วขวัญสยอง
( bean curd บีนเขิร์ดแปลว่า เต้าหู 
The wife ภรรยา
rolled on the floor กลิ้งไปมาบนพื้น
 laughing, หัวเราะ
tears in her eyes. นํ้าหูนํ้าตาใหล
 After years หลังจากหลายปีที่ผ่านมา
of torture ด้วยความทรมาณ
she had got him back เธอก็เอาคืนจากสามีได้
 pretty good. อย่างสวยหรู
About 20 minutes later, ประมาณยี่สิบนาทีต่อมา
her husband สามีของเธอ
came downstairs ก็ลงมาข้างล่าง
in his bloods stained underpants นุ่งกางเกงชั้นในที่เปราะไปด้วยเลือด

with a look of horror ด้วยท่าทางหวาดกลัว
on his face. เกลื่อนบนใบหน้า
 He said, สามีพูดว่า
 “You always told me คุณบอกผมเสมอๆว่า
I’d end up ผมจะต้องเจอเข้าจนได้
(I’d end up = I would end up)
farting my guts out, ตดจนเครื่องในหลุดออกมา
guts กั๊ตซ์ แปลว่าใส้ ก็เหมือน  innards อินเหน็ด =  offal อ๊อฟฟ่อล = เครื่องใน 

and today แล้ววันนี้
it finally happened. มันก็เกิดขึ้นจนได้
But by แต่ว่า
the grace of God ด้วยความศักสิทธิ์ของพระเจ้า
and some Vaseline, กับครีมวาสลีนอีกนิดหน่อย
 I think ฉันคิดว่า
I got them all back in.” ฉันเอามันกลับเข้าไปข้างในหมดแล้ว 
...........................................







Sunday, 29 November 2015

ช่าวทาสี



A man is given the job of painting the whit lines down the middle of a highway.
On his first day he paints 6km; the next day 3km; the following day Iess than l km.
When the foreman asks the man why he keeps painting less each day, he replies, “I just  can’t do any better. Each day I keep getting further away from the paint can.”
…………………….
A man ชายคนหนึ่ง
is given the job ได้รับมอบหมายงานมา
 of painting เป็นงานทาสี
(คนละคนกับชายที่ทำงานถือธงวิ่งนําหน้ารถไฟ คนนั้นตายด้วยโรคชราไปแล้ว )
the whit lines เส้นสีขาว
 down ไปตาม
the middle กลาง
of a highway. ถนนไฮเวย์
On his first day
วันแรกของแก
 he paints 6km; แกทาสีได้ระยะทางหกกิโล
 the next day 3km; วันต่อมาได้สามกิโล
the following day วันต่อมาอีก
 Iess than l km. ได้ไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร
When the foreman
เมื่อ โฟร์แมนหรือหัวหน้างาน
asks the man ถามชายคนนี้ว่า
 why he ทำใมเขา
keeps painting ทาสี
less น้อยลงๆ
each day, ทุกวัน
(each day อี้ชเดย์  = every day เอฟเวอร์รี่เดย์ )
he replies, เขาตอบว่า
“I just  ผมคง
can’t do ทำไม่ได้
any better. ดีไปกว่านี้อีกแล้ว
 Each day ทุกวัน
 I keep getting ผมมีความรู้สึกว่า
further away ระยะทางมันห่างขึ้นเรื่อยๆ
from จาก
the paint can.” กระป๋องสี
( วันแรกกำลังดี ก็อย่างว่า เอาแปรงจุ่มสี แล้วก็วิ่งไปทา พอหมดสี ก็วิ่งกลับมาจุ่มสีใหม่ วิ่งไปทาใหม่ ก็ได้ระยะทางมาก ต่อมาก็น้อยลงๆ เพราะมันเหนื่อย ทางที่ดี ใครได้งานแบบนี้ น่าจะไปฝึกวิ่งมาราธอนก่อนจะดีที่สุด...ใช่มะ)





Wednesday, 25 November 2015

Brain Fart






Ears burning
A Blond fella shows up at work
one day with both of his ears
heavily bandaged.
“What the heck happened
to you?” asks his boss.
“I was ironing a shirt yesterday and the phone rang. I had a complete brain fart, picked up the hot iron by mistake and put it to my ear. Now it’s burnt to a bloody crisp.”
“That explains one ear. But what about the other?”
“Geez,” says the bloke. “I had to call the doctor, didn’t I?” 

................................................


Ears burning เอียส์ เบิรนนิ่ง แปลว่าหูใหม้ ส่วนมากมาจากโทรศัพท์นานๆ หรือโดนนินทา หรือโดนด่า เป็น metaphor เม๊ตตาฟอร์ หรือ อุปมาอุปมัย แต่เรื่องนี้มาแปลกกว่า
A Blond fella
 สหายหนุ่มผมบลอนด์ ( ปกติจะมี e ต่อท้าย แต่การเขียนแบบนี้ อ่านเผินๆ คล้ายๆกับ blind หรือคนตาบอด โจ๊กเกี่ยวกับคนตาบอดฝรั่งห้ามเด็ดขาด ไม่มีใครกล้า)
shows up โผล่มา
at work ที่ที่ทำงาน
one day
ในวันหนึ่ง
 with ด้วย
both of his ears หูของเขาทั้งสองข้าง
heavily bandaged.
แปะพลาสเตอร์ เปราะไปหมด
( ปกติ heavily เฮฟวิลี่  แปลว่าหนัก ในที่นี้คือ แยะ)
“What the heck happened
มันเกิดอะไรขึ้น (  วะแบบนี้)
(What the heck  = What the hell)
to you?”
กับมึง
 asks his boss. เจ้านายถาม
“I was ironing a shirt
ผมกำลังรีดเสื้อตัวนึงอยู่

(ironing ไอออนนิ่ง แปลว่า รีดผ้า  )

 yesterday เมื่องานนี้
 and the phone rang. แล้วก้อมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
 I had a complete brain fart, ตอนนั้น ผมประสาทเสียพวักพวนไปหมด ( brain fart = memory laps แปลว่า ก่งก้ง งงๆ ประสาทไม่ทำงาน หรือทำงานผิดๆถูกๆ )
picked up the hot iron หยิบเตารีดขึ้นมา
by mistake อย่างผิดพลาด
and put it to my ear. แล้วก้อเอามาทาบที่หู
Now เห็นมั๊ยเนี๊ยะ
it’s burnt หูมันใหม้
to a bloody crisp.” จนกรอบไปหมด
“That explains one ear.
นั่นมันอธิบายได้แค่ หูข้างเดียว
 But what about the other?” แต่ว่า อีกข้างนึงมันเกิดอะไรขึ้นหรือ
“Geez,”
จีๆๆ มาจาก จีซัส ไคร๊ส์ ในที่นี้แปลว่า โอ้โหมึงนี่โง่จริงๆแต่คงพูดในใจ
says the bloke. ไอ้หนุ่มพูดขึ้น
“I had to ผมจำเป็นต้อง
( I had to คำนี้ คือ infinity tense คือไม่มี เทนส์ = I must )
 call the doctor, โทรไปเรียกหมอ
 didn’t I?” ใช่มั๊ยละ





Saturday, 21 November 2015

ความโชคร้ายของเด็กไทย

นี่คือหลักฐานที่ชี้ให้เห็นถึงความโชคร้ายของเด็กไทย ที่โดนสอน กิริยาสามช่อง ตั้งแต่แรกเกิด
          คลิ๊บวิดีโอ คลิ๊บนี้มีมานานกว่า สิบห้าปีแล้ว ดังก้องโลก แต่ถ้าเด็กคนนี้เป็นเด็กไทย คลิ๊บนี้จะไม่มีเกิดขึ้นเพราะ ป่านนี้เด็กยังสับสน ไม่รู้ว่าจะใช้กิริยาช่องใหนดี เด็กคนนี้โชคดีมากๆ  อายุสองขวบ ยังไม่เข้าโรงเรียนเลย ก็รู้จักใช้กิริยาสามช่อง โดยที่ไม่ต้องมีครูไทยมาสอน นับว่าโชคดีมหาศาล ที่ไปเกิดในประเทศที่ไม่มีครู สิบแปดมงกุฏ หากินง่ายๆ เด็กไม่เป็นมันก็บอกว่าเด็กปัญญาอ่อน ต้องเรียนพิเศษ พ่อแม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม คลิ๊บนี้ เราจะเห็นว่า
เด็กคนนี้ ใช้คำว่า Bit ออกเสียงว่า บิ๊ท ทำใมไม่ใช้คำว่า bite ไบ๊ท์ หรือ biting ไบ๊ติ๊ง ให้มันยุ่งยากสับสนเหมือนเด็กไทย...พูดกันตรงๆเลยไม่ได้ดูถูกนะ ถ้าเป็นตัวครูเองก็อาจจะพูดผิด ผมไม่เชื่อน้ายามันเลย ...เอาละ เรามาสนใจเรื่องใหม่กันสะสม วลี หรือประโยคที่ฝรั่งใช้คุยกัน หรือเล่าเรื่องสู่กันฟังเพื่อให้สะสมใน สมอง เป็น Mechanical Mind รู้ภาษาอังกฤษ แถมใช้เป็นโดยไม่รู้ตัวกันดีกว่า
.....................................................
Not very PC
JESUS and Satan had a competition to see who was the best computer programmer. They gave themselves
10 hours to code the coolest program possible, with the final products to be judged by God.
After nine hours of intense work, the power suddenly went out and their two monitors went dead!
Both Jesus and Satan sat there in shock, but moments later the power came back on. Jesus breathed a massive sigh of relief as all of his data returned to the screen, but to Satan’s horror. he’d lost his entire program.
Angrily Satan complained to God, demanding he be allowed to starts again “All that hard work wasted! I know my program was better than Jesus’ one!”
God let him rant for a while, then chuckled, “Satan, you idiot, that’s always been the difference between you guys:
Jesus saves!”
.......................................................
Not very PC ถ้าเราจะแปลแบบง่ายๆว่า ไม่เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็ถูก แต่ในเรื่องนี้  PC หรือ Personal computer หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว แบบพกพาได้ สมัยก่อน คอมใหญ่มาก จะพกพาไปใหน ต้องเอาใส่รถโกดังบันทุกไป เหมือนโมบายโฟน สมัยก่อน ต้องจ้างคนแบกไป  นอกจากนั้นยังแปลว่า Professional corporations คือหน่วยงานที่ออกใบอณุญาตให้ อาชีพสำคัญๆ เช่นหมอ นักบัญชี ทนายความประเภทนั้น เรื่องนี้  น่าจะแปลว่า ไม่ใช่มืออาชีพ เรามาดูกันว่ามันไปมาอย่างไร

JESUS จีซั๊ส หรือ พระเยซุ
 and Satan และ เซตั้น หรือที่คนไทยเรียกว่า ซาตาน
 had a competition ได้มีการแข่งขันกัน
(had a competition = have a competition เป้นเรื่องเล่าใช้ had )
 to see เพื่อดูว่า
 who was ใครคือ
 the best สุดยอด
computer programmer. คนเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
 They gave themselves 10 hours พวกนี้ ให้เวลาตัวเองสิบชั่วโมง
to code ที่จะเขียน
the coolest program possible, โปรแกรมที่แจ๋วที่สุด
( cool แปลว่าหล่อ cooler แปลว่า หล่อมากกว่า coolest  หล่อที่สุด  )
with the final products ด้วยโปรแกรมอันสุดท้าย ( แสดงว่าสูสีกันมาตลอด )
to be judged by God. ที่จะตัดสินโดยก๊อด
After nine hours หลังจากเก้าชั่วโมงผ่านไป
of intense work, อย่างต่อสู้กันอย่างดุเดือด
(intense อินเท๊นซ์  แปลว่า เอาจริงเอาจัง ดุเดือด เข้าข้น )
the power ไฟฟ้า
suddenly went out เกิดดับอย่างกระทันหัน
and their two monitors แล้วโมนิเตอร์ ทั้งสองคน
 went dead! ก็ดับสนิท ( ตายสนิท)
Both Jesus and Satan ทั้งคู่ พระเยซูกับซาตาน
sat there in shock, นั่งที่นั่นเกิดอาการช๊อคตกใจ
 but moments later แต่ทว่า ในเวลาไม่นานนัก
 the power came back on. ไฟฟ้าก็กลับมาใหม่อีก
Jesus breathed พระเยซูถอนหายใจ
a massive sigh of relief เฮือกใหญ่ ด้วยความโล่งใจ
 as อย่างว่าและ
 all of his data พวกข้อมูลทุกอย่าง
returned to the screen, กลับคืนมาที่จอ
but to Satan’s horror. แต่ว่าซาตาน ต้องตกใจสุดขีด
he’d lost his entire program. โปรแกรมที่เค้าทำไว้ทุกอย่างหายหมด (entire เอนไทร์ แปลว่าทั้งหมดเลย )
Angrily ฉุนขาด
Satan complained ซาตาน โวย
(complained คอมเพลน แปลว่า โวย )

 to God, ไปที่ก๊อด
demanding เรียกร้อง
he be allowed ให้ยอมให้มัน
 to starts again เริ่มต้นใหม่

“All that hard work งานที่ทำมาแทบตาย
 wasted! สูญเปล่า
I know ผมรู้ว่า
my program โปรแกรมของผม
was better ดีกว่า
than Jesus’ one!” โปรแกรมของพระเยซู
God let him ก๊อด ปล่อยให้มัน
 rant for a while, ระบายโทสะอยู่ครู่หนึ่ง
then chuckled, แล้วก็หัวเราะคิกๆ
“Satan, ซาตาน
you idiot, มึงนะอีเดียต
 that’s always been the difference นี่คือข้อแตกต่าง
 between you guys: ระหว่างมึงทั้งสอง
Jesus saves!” จีสัซ เซฟ
  (Jesus saves คือคำพูดที่ คนคริสเตียนพูดกันคือ ก๊อดส่งจีสัซ มาช่วยเหลือมนุษย์  )
........................................................




Thursday, 19 November 2015

นักวิทยาศาสตร์ กับนักปรัชญา





การเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง ไม่ใช่ท่องกิริยาสามช่องจำได้หมด แล้วจะเก่ง หรือท่องศัพท์จำได้แยะมากแล้วจะเก่ง เพระศัพท์บางตัวไปอยู่ในที่บางแห่ง ความหมายก็เปลี่ยนไป หรือไปบวกกับคำอื่น ก็แปลแทบไม่รู้เรื่อง ต้องอ่านแบบที่ผมเอามาแปลให้คุณอ่าน แบบนี้นี่แหละ จะทำให้เก่งโดยไม่รู้ตัว หรือทีฝรั่งเรียกว่า Mechanical Mind ที่แปลว่า มันออกมาโดยไม่รู้ตัว เพราะเราซึมซับ วลี ประโยค ที่ฝรั่งมันสนทนาตอบโต้กันมามาก  เวลาไปเจอคล้ายๆกัน มันจะออกมาเอง แบบที่ฝรั่งเรียกว่า Self Replica Automata หรือ กลไกสมองจะทำงานเลียนแบบโต้ตอบโดยอัตโนมัติ เราเองก็แทบไม่รู้ตัว เหมือนเราออกจากบ้านต้องใส่กุญแจ ทำมาเป็นประจำจนกลายเป็นอัตโนมัติ...จนบางครั้ง ต้องเดินกลับไปดู เพราะจำไม่ได้ว่าล๊อคประตูหรือยัง บางครั้งก็จะผิดจะถูกบ้างนานๆไปก็จะดีขึ้นๆ  คำว่า Mechanical Mind แม๊คกานิขั้ล มายด์ นอกจากจะแปลว่า มีหัวทางซ่อมสร้างเครื่องยนต์ หรือของใช้ในบ้าน บางคนของดีซ่อมให้เสีย ของเสียซ่อมให้ดี ชอบรื้อชอบแกะ แล้ว ยังแปลว่า สมองทำงานเองโดยอัตโนมัติ
เรื่องนี้ เป็นเรื่องเก่าๆ ง่ายๆ ลองดู
A scientist and a philosopher are being chased by a hungry lion. The scientist make some calculation and says , “ it’s no good trying  to outrun it, it’s catching up !”  the philosopher keep a little ahead  and replies , I’m not try to outrun the lion, I’m trying to outrun you.
.............................................
A scientist นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง
and a philosopher กับนักปรัชญาอีกคนหนึ่ง
 are being chased กำลังโดนไล่มา
by a hungry lion. โดยสิงห์โตที่หิวโหยตัวหนึ่ง
The scientist นักวิทยาศาสตร์
make some calculation คิดสาระตะ (คิดคำนวณ )
and says , แล้วก็บอกว่า
“ it’s no good มันไม่ดีเลย
trying  to outrun it, ที่เราพยายามจะวิ่งให้เร็วกว่ามัน
 it’s catching up !”  ยิ่งไปมันก็ยิ่งกวดใกล้เข้ามาเรื่อย
the philosopher นักปรัชญา
keep a little ahead  พยายามวิ่งออกหน้าไปนิดหน่อย
and replies , แล้วก็ตอบว่า
I’m not ผมไม่ใช่จะ
try to outrun the lion, พยายามวิ่งจะเอาชนะหน้าสิงโต
 I’m trying ผมกำลังพยายาม
to outrun you. จะวิ่งให้ชนะคุณ



Tuesday, 17 November 2015

ใครได้ประโยชน์ จากการสอนกิริยาสามช่อง




   
เรื่องราวของสาวผมบลอนด์  มีมาเล่าไม่มีจบสิ้น นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง
        เรื่องนี้ เป็นตัวอย่าง ของ ประโยชน์ ของกิริยาสามช่อง ว่าใครได้ ประโยชน์บ้าง ใครเสียประโยชน์บ้าง    
     A young blonde woman is distraught because she fears
her husband is having an affair, so she goes to a gun shop and buys a handgun.
    The next day she comes home to find her husband in bed with a beautiful redhead. She grabs the gun and holds it to her own head. The husband jumps out of bed, begging and pleading with her not to shoot herself. Hysterically, the blonde responds to the husband, “Shut up... you’re next!”
...................................................
     A young blonde woman สาวน้อยผมบลอนด์คนหนึ่ง
is distraught กำลังกลุ้มใจ
(distraught ดิ๊สทร๊อต  แปลว่า worried,วอรี่ กังวล upset, อั๊พเซต โมโหdistressed, ดิ๊สเทร๊ส ชอกช้าใจ, devastated, ดีว๊าสสะเตเต็ด หัวใจสลาย shattered  แช๊ตเต้อร์เหรต shatter แปลว่าแตก หรือ เป็นประสาท หรือที่คนไทยเรียกว่า ประสาทแดกนั่นเอง )
because  เพราะว่า
she fears หล่อนกลัวว่า
her husband
สามี
is having an affair, กำลังมีชู้
( is having an affair นี่คือตัวอย่างว่าใครได้ประโยชน์ จาก กิริยาสามช่องบ้าง
ถ้าเราเปลี่ยนเป็น  am having an affair ก็จะไม่เป็นประโยค  หรือเป็นก็ไม่รู้เรื่อง หรือเปลี่ยนเป็น are having an affair ก็ต้องเติมเอสที่ husband เลยกลายเป็น สาวผมบลอนด์คนนี้มีผัวหลายคน สรุปแล้ว คนที่ได้ประโยชน์ จากการสอนท่องจำกิริยาสามช่องคือ ครู ที่ได้เงินเดือนไป ส่วนเด็ก ได้ความสับสนไป ได้โรคประสาท เพราะงงไปหมด จับต้นขนปลายไม่ถูก จนเกลียดภาษาอังกฤษ เลิกบ้ากันได้แล้ว ใช้วิธีจำทั้งวลีที่เค้าใช้ ไปที่ใหนฝรั่งเค้าก็ใช้แบบนี้ ไม่ต้องย้อนศรไปคิดให้มันมากเรื่องน่าแปลกที่เวลา พูด พยายามเลียนแบบออกเสียงให้เหมือนฝรั่ง ก็น่าจะเอาตัวอย่างมาใช้เลย ไม่ต้องไปสนใจว่ามันคือ tense อะไร อยากรู้ก็เปิดกูเกิ๊ล หรือเปิดตำราดูบางคนลงทุนซื้อตําราไม่กี่บาท คัดลอกมาสอนเด็กจนเละเทะ หากินง่ายๆ แต่ทําลายเด็กโดยไม่รู้ตัว ทุกวันนี้ ไวยากรณ์ มีเกลื่อนไปตามอินเตอร์เน็ต ใน Microsoft word  ก็มี ไม่ต้องไปพึ่งคนเหล่านี้ )
so she goes to ด้วยเหตุนี้ หล่อนจึงไปที่
a gun shop ร้านขายปืน
and buys a handgun. แล้วก็ซื้อปืนพก
    The next day วันรุ่งขึ้น
she comes home หล่อนกลับมาถึงบ้าน
to find ก็พบว่า
her husband in bed สามีเธอกำลังอยู่บนเตียง
with กับ
a beautiful redhead. สาวสวยผมแดง
She grabs the gun เธอคว้าปืน
and holds it แล้วก็จ่อมัน
ไปที่หัวเธอ
 to her own head. ไปที่หัวเธอ

The husband สามี
jumps out of bed, กระโจนออกมาจากเตียง
begging and pleading อ้อนวอนและขอร้อง
with her กับหล่อนว่า
not to shoot herself. อย่ายิงตัวเอง
Hysterically, กำลังคลั่ง
(Hysterically ฮิสเตอร์ริเคิ๊ลลี่ มาจาก  Hysteria ที่ฝรั่งแปลว่า ควบคุม
ตัวเองไม่ได้ คนไทยแปลว่า มีความต้องการทางเพศสูงร่านไปทั่ว ที่ฝรั่งเรียกว่า Nymphomaniac เป็นอาการ ทางจิต ที่มีความต้องการทางเพศสูงมาก เกิดจาก ต่อมฮอร์โมน ต้องรักษาทางแพทย์ ทั้งทางจิตวิทยาและทางกายภาพ ไม่ใช่ดอกทองหรือคนไม่ดีแต่อย่างใด เรียกว่า แปลผิดโดยสิ้นเชิง ทุกวันนี้ ยังเข้าใจแบบนั้น  )
the blonde responds สาวผมบลอนด์ตอบ
to the husband, ไปยังสามีว่า
 “Shut up... หุบปากได้แล้วมึง
you’re next!” มึงคือคนต่อไปหรือ ศพต่อไป ( หลังจากกูยิงตัวเองแล้วก็จะยิงมึงเป็นคนต่อไป)





Monday, 16 November 2015

ประเทศไทยควรออกกฏหมายจําคุกสิบปี

          ประเทศไทยควรออกกฏหมายจําคุกสิบปี โดยไม่มีการรอลงอาญา ให้ครูคนใหนที่สอน ไวยากรณ์ กับกิริยาสามช่องให้เด็กอายุตํ่ากว่าสิบสามปี ถ้าเด็กไปแจ้ง ถือว่ามีความผิดเท่ากับฆาตกรรมทางสมอง หรือข่มขืนทางสมอง ทําให้เกิดความพิการในการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษ แบบทารุณโหดร้ายที่สุด
          กิริยาสามช่อง และ ไวยากรณ์ คือ ผีร้ายที่พวกชนชั้นสูงเอามาทําลายเด็กไทยไม่ให้เป็นสากล เป็นการสอนภาษาอังกฤษ ของครูขี้เกียจ สิบแปดมงกุฏ ทําให้เด็กไม่มีแรงจูงใจ 

          สร้างขยะมลพิษในสมองเด็ก โดยการยัดเยียดสิ่งที่ไม่มีโอกาศจะจําได้เพราะมันแยะเกินไป กินเนื้อที่ Hard Disc หรือ USB flash drive  ของสมองไปหมด เหมือนการให้ท่องจําศัพท์ ที่เวลาไปเจอจริงๆ ก็ไม่เข้าใจ หรือให้จําประโยค ครั้งละหลายสิบประโยค ที่เอาเข้าจริงๆไม่รู้ว่าจะใช้อย่างไร สรุปแล้วคือวิชาหากินแบบง่ายๆ ที่ตัวเองก็จําไม่ได้ หรือทําไม่ได้แต่จะให้คนอื่นจําให้ได้หรือทําให้ได้ 

เป็นการเรียนภาษาอังกฤษที่ไม่มีประเทศใหนทํากัน
    

Juggling

       

คําว่า Juggling ในพจนานุกรมไทยหรือกูเกิ๊ลแปลว่า 
เล่นกล, เล่นพิเรนทร์, ตบตา, ตอแหล แค่นั้น
ไม่รู้เหมือนกันว่าแปลไปได้อย่างไร ผิดจุดประสงค์ของฝรั่งโดยสิ้นเชิง ลองเปิดกูเกิ๊ลทานเสลดดูได้เลย ...น่าจะเอามาจาก แสลง ที่ว่า manipulate deception หรือ deceive ดีซี๊ฟ ที่แปลว่าใช้เล่ห์เหลียมเล่นกลลวงตาล้วนๆเลย แต่จริงๆแล้วฝรั่งไม่นิยมใช้คำนี้ไปในทางที่ไม่ดี    
        Juggling หรือ Juggler คือนักกายกรรมที่โยนของ สองมือรับหมุนเวียนไปมา เป็นความสามารถที่ต้องฝึก ไม่ใช่นักมายากลหรือ นักหลอกลวงหรือนักเล่นกลแต่อย่างใด มาดูเรื่องนี้กัน ว่าอะไรเป็นอะไร 

Go for the Juggler
A circus performer gets pulled over by
a highway patrol officer for speeding.
 As the officer writes out the ticket, he glances inside the car and notices what looks like a pile of axes lying on the back seat.
“Sir, step outside. Why do you have those axes in your car?”
“Oh, those are just my machetes. I’m a circus juggler and I use those in my act.”
“You juggle machetes?” the officer says suspiciously. “Well, why don’t you show me, sir?
So the juggler picks up three machetes and starts juggling them.
Noticing that the policeman isn’t
convinced, he adds more and more,
throwing them through his legs and
behind his back, until he’s finally juggling 10 machetes while riding a unicycle!
A passing motorist happens to look through the window and with a horrified look turns to his Passenger.
“Fuck! I better give up drinking,” he says. “Look at the sobriety test they’re making people do now!”
………………………………..
    Go for the juggler ประโยคนี้ แผลงมาจาก go for the jugular  จั๊กกูล่าร์ กับ จั๊กกะเล่อร์ที่ออกเสียงคล้ายๆกันที่แปลว่า นินทาคนอย่างโหดร้าย

A circus performer นักเล่นลครสัตว์
gets โดน
pulled over สั่งให้หยุด
by a highway patrol officer โดยตํารวจทางหลวง
for speeding. โทษฐานขับรถเร็ว 
 As ในขณะ
the officer ที่ตำรวจคนนั้น
writes out the ticket, เขียนใบสั่ง    
he glances inside เขาก็มองเข้าไปใน
the car รถคันนี้
and notices แล้วก็สังเกตุเห็นว่า
what looks like มันดูเหมือน
a pile of axes มีขวานอยู่กองหนึ่ง
 lying on วางกองอยู่บน
the back seat. เบาะหลัง
“Sir, step outside. คุณครับ กรุณาออกมาจากรถ
Why do you have ทำใมคุณมี
those axes ขวานพวกนั้น
in your car?” ในรถคุณ
“Oh, อ้อ
 those are ไอ้พวกนั้น
just my machetes. มันก็แค่ มีดสปารต้าของผม
(machetes มาเช๊ตตี้ คือมีดใหญ่เอาไว้เดินป่า คนไทยนิยมเรียกว่า มีดสปารต้า)  )
I’m a circus juggler ผมเป็นนักกายกรรมในคณะลครสัตว์
and I use those และผมก็ใช้พวกมัน
in my act.” เล่นโชว์ของผม
“You juggle machetes?”        คุณเล่นจั๊กเกิ๊ล มีดสปารต้านั่นเหรอ
  the officer ตำรวจ
says suspiciously. พูดออกมาอย่างสงสัย ทํานองไม่เชื่อ
“Well, ถ้างั้น
why don’t you show me, sir? ทำใมคุณไม่โชว์ให้ผมดูหน่อยละคุณ

So the juggler ด้วยเหตุนี้ นักกายกรรมโยนของ
picks up three machetes หยิบมีดสปารต้าขึ้นมาสามอัน
and starts แล้วก็เริ่ม
juggling them. โยนมันหมุนเวียนไปมา
Noticing that เขาสังเกตุเห็นว่า
the policeman  ตำรวจคนนี้
 isn’t convinced, ยังไม่ยอมเชื่อ
(convince คอนวิ๊นซ์  = satisfy แซ๊ตติฟาย ที่แปลว่าพอใจ หรือ get ที่แปลว่าเข้าใจ )
he adds เขาก็เพิ่มขึ้นอีก
more and more, มากขึ้นๆ
throwing them โยนมัน
 through his legs ผ่านหว่างขา
and behind his back, และก็ ด้านหลัง (หมายถึงว่าโยนแบบไม่ต้องมอง )
 until จนกระทั่ง
he’s finally ในที่สุดเขาก็
 juggling 10 machetes โยนขวานไปมาถึงสิบอัน
 while ในขณะที่
riding a unicycle! ขี่จักรยานล้อเดียว

A passing motorist คนที่ขับรถผ่านไปมา
happens to look สามารถที่จะมอง
through ผ่าน
the window หน้าต่างกระจกรถได้
 and with a horrified look และก็มีสีหน้าสยองขวัญ
turns to หันไปทาง
his Passenger. เพื่อนที่ร่วมทางมาด้วย
“Fuck! ชิบหายแล้วกู
(“Fuck!  ย่อมาจาก Fuck me death เป็นแสลงแปลว่า ซวยละซิกู )
 I better give up drinking,” กูเลิกกินเหล้าจะดีกว่า
he says. เขาพูดขึ้น
“Look at the sobriety test ดูวิธีการทดสอบคนว่าไม่เมา
(sobriety ซ๊อฟบริเอ๊ตตี๊ เป็นคำนาม มาจาก  sober โซเบ้อร์ ที่เป็นคำคุณศัพท์ ที่แปลว่าไม่เมา )
they’re making ที่มันบังคับ
people do now!” ให้คนทําตอนนี้ซิ
………………………………..